All-new Toyota Corolla CROSS 2020 ใหม่ เปิดตัวครั้งแรกในโลก ณ ประเทศไทย ซึ่งเพียงชั่วข้ามคืนได้กลายเป็นเอสยูวีที่ผู้คนให้ความสนใจอยากรู้ ว่า C-SUV คันล่าสุดจากโตโยต้ามอบความสบายภายในห้องโดยสาร ตลอดจนฟีลการขับขี่จะต่างกันกับ Toyota C-HR หรือ Toyota Corolla Altis มากขนาดไหน
Toyota Corolla CROSS ใหม่ เผยโฉมให้ลูกค้าชาวไทยได้เลือกจับจองทั้งหมด 4 รุ่นย่อย ประกอบด้วย 1.8 Sport, 1.8 Hybrid Smart, 1.8 Hybrid Premium และ 1.8 Hybrid Premium Safety มีราคาอยู่ระหว่าง 959,000-1,199,000 บาท ที่พอฟังดูแล้วก็สนใจอยากลองขับรีวิวให้รู้ชัดไปเลยว่าดีสมค่าตัวหรือไม่?
ภายนอก
โตโยต้า โคโรลล่า ครอส ใหม่ แม้จะใช้ชื่อฐานร่วมกับรถซีดานตัวขายดีประจำค่าย แต่ก็มิได้มีส่วนหนึ่งส่วนใดคล้ายกันแม้แต่น้อย โดยออกแบบให้สื่อถึงความเป็นรถที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์คนเมืองด้วยขนาดกำลังพอเหมาะ อีกทั้งยังต้องตอบโจทย์ด้านอื่นๆ ที่ครอบครัวยุคใหม่ต้องการได้ครบถ้วน
การตกแต่งด้านนอกเริ่มจากไฟหน้า LED Projector แบบ Hybrid เข้ากันดีกับกระจังหน้าทรงที่หลายคนพูดเป็นเสียงเดีนวกันว่ารถคันนี้หน้าบึ้งเหมือนโกรธใครมา ส่วนไฟส่องสว่างเวลากลางวัน LED ลากยาวสุดซ้ายจรดขวาอยู่ภายในโคม และด้านหลังเป็นที่อยู่ของไฟท้าย LED ทรงเพรียวบางแต่สว่างชัดเจนแม้เบรกในเวลากลางวัน
ถ้ามองดีๆ จะเห็นว่าเส้นสายด้านข้างตัวรถบริเวณเหนือซุ้มล้อหน้ากับตรงประตูคู่หลัง มีรูปร่างตัวถังนูนขึ้นมาทรงตัว C สื่อถึงชื่อของเอสยูวีคันใหม่นี้ ขณะเดียวกัน ยังเสริมความเข้มด้วยขอบชายล่างรถไปจนถึงขอบซุ้มล้อสีดำ และในรุ่น 1.8 Hybrid Premium Safety ที่เราทดลองขับจะได้ราวหลังคาสีดำมอบลุคความเป็นรถครอบครัวเต็มขั้น
ใครแคร์เรื่องล้ออัลลอยว่าต้องใหญ่สุดไซส์ 18 นิ้ว แบบปัดเงา คุณควรเลือกรุ่นท็อปสุดกับรุ่นรองท็อป เพราะในรุ่นย่อยอื่น เช่น 1.8 Hybrid Smart กับ 1.8 Sport ใส่ล้อขนาด 17 นิ้วมาให้แทน
สำหรับลูกค้าผู้คิดว่าขับรถเดิมๆ แล้วมันไม่สื่อถึงตัวตนเท่าไร ทางโตโยต้าก็มีชุดแต่ง 2 สไตล์ไว้รอท่า นั่นก็คือชุดแต่ง Urban Sport เพื่อลูกค้าชอบรถอารมณ์สปอร์ต กับ Adventure ตรงใจเพื่อสายลุย
ภายใน
ด้วยความที่ใช้ชื่อร่วมกับ Corolla ALTIS เอสยูวีอย่าง Corolla CROSS จึงยกห้องโดยสารมาใส่ในรูปแบบเดียวกัน ทว่าจุดแตกต่างอยู่ตรงสีภายในที่มี 2 สี คือ สีดำ กับ สีแดง Terra Rossa สร้างอารมณ์ให้ผู้ขับขี่กับผู้โดยสารรู้สึกว่ามีความพรีเมียมมากกว่าโฉมซีดาน และถ้าคุณต้องการสีภายในใหม่ต้องเลือกสีภายนอก 3 สี อาทิ สีขาว, สีดำ และสีเทาฟ้า ในรุ่นย่อย Hybrid Premium ขึ้นไป
ตำแหน่งขับขี่หาความกระชับพร้อมความสบายได้ไม่ยาก ด้วยเบาะนั่งฝั่งคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง กับพวงมาลัยปรับได้ 4 ทิศทาง โดยผู้เขียนความสูง 170 ซม. หนัก 78 กก. นั่งแล้วรู้สึกโปร่งโล่งแม้ปรับเบาะสูงขึ้น ขณะเดียวกันตัวเบาะมีความแน่นนุ่มกำลังดี และได้ผ่อนคลายเมื่อต้องขับรถเดินทางไกลด้วยพนักวางแขนระหว่างเบาะคู่หน้า ที่สามารถปรับเลื่อนหน้า-หลังเข้าใกล้ตัวผู้ขับขี่และผู้โดยสารได้
หนึ่งจุดที่รู้สึกได้ว่าโคโรลล่า ครอส ออกแบบได้ตามนิยามของแพล็ตฟอร์ม TNGA ก็คือการลบจุดบอดรอบคันได้หมดจด โดยตรงบริเวณกระจกมองข้างใช้เป็นแบบกระจกหูช้างขยับเข้าใกล้ตัวผู้ขับขี่ พร้อมด้วยช่องกระจกโอเปร่าตรงเสา A–pillar ที่ทำให้เรามองเห็นปลายโค้งหรืออะไรตามซึ่งเคยสังเกตเห็นลำบากกลับมามองได้ง่ายขึ้น
เสร็จสิ้นการอธิบายด้านหน้าเราขอขยับตัวไปนั่งเบาะแถว 2 กันบ้าง โดยการเข้าสู่ภายในทำได้คล่องตัวด้วยประตูบานหลังขนาดค่อนข้างใหญ่ เมื่อผสานกับความสูงจากพื้นถนนที่ไม่ได้สูงหรือเตี้ยจนเกินไป ทำให้เราก้าวขึ้นไปนั่งบนเบาะหลังได้พอดีแบบไม่ต้องจับโหนหรือหย่อนก้นลง นอกจากนี้ ด้วยความที่หลังคาห้องโดยสารถูกยกสูงขึ้น ทำให้ทุกชีวิตที่อยู่บนรถมีพื้นที่เหนือศีรษะเหลือเฟือเลยทีเดียว
เบาะนั่งแถว 2 ปรับเอนได้ 2 ระดับ ซึ่งระดับปกติจะมีองศาพนักพิงชันใกล้เคียงกับ Toyota C-HR แต่หากปรับเอนลงไปหนึ่งขั้นจะรับรู้ได้ทันทีว่าความสบายระหว่างเดินทางไกลมีให้แน่นอน พอเอนเบาะแล้วเปิดพนักวางแขนตรงกลางพร้อมเอาเท้าสอดไว้ภายใต้เบาะคู่หน้า สรีระในท่านั้นมอบความผ่อนคลายเหมาะสำหรับการงีบหลับได้เป็นอย่างดี และอีกจุดที่ขอชื่นชมคือการยกช่องวางแก้วน้ำมาไว้ในระดับเดียวกับพนักวางแขนข้างประตูคู่หลัง ตรงนี้เองอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้โดยสารตอนหลังเต็มที่ ส่วนใครขี้ร้อนก็ให้หายกังวลใจเพราะมีช่องแอร์แถวหลังมาด้วย
จอแสดงข้อมูลการขับขี่ดิจิตอล ขนาด 7 นิ้ว ยกมาจากอัลติส แต่หน้าจอสัมผัสระบบอินโฟเทนเมนท์บนเอสยูวีคันนี้ มีขนาดใหญ่กว่าอยู่ที่ 9 นิ้ว ให้การรองรับ Apple CarPlay กับ Android Auto พร้อมลำโพง 6 ตำแหน่ง รวมถึงระบบ T-Connect กับความสามารถในการใช้ประกันภัยแบบ Telematics ซึ่งทางโตโยต้าระบุว่าหากใครขับรถน้อยขับรถดี คุณเตรียมรับส่วนลดค่าเบี้ยประกันได้สูงสุด 45% ไปเลย
อุปกรณ์มาตรฐานอื่นๆ มีเครื่องปรับอากาศอัตโนมัติแบบ Dual Zone, กุญแจอัจฉริยะ Smart Entry, ปุ่ม Push Start, ไฟอ่านแผนที่, กระจกแต่งหน้าพร้อมไฟส่องสว่างทั้งฝั่งผู้ขับขี่-ผู้โดยสาร, กระจกมองหลังปรับลดแสงอัตโนมัติ, ประตูท้ายเปิด-ปิดด้วยไฟฟ้า และเซ็นเซอร์เปิด-ปิดฝาประตูท้ายแบบ Kick Activated แต่น่าเสียดายที่เบรกมือไฟฟ้ากับระบบหน่วงแรงเบรกอัตโนมัติถูกถอดออก เหลือเพียงเบรกมือแบบใช้เท้าเหยียบเท่านั้น
ประเด็นความปลอดภัยติดตั้งถุงลมนิรภัย 7 ตำแหน่ง, ระบบเบรก ABS/EBD/BA, ระบบควบคุมการทรงตัว VSC, ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TCS, ระบบแจ้งเตือนลมยางผิดปกติ TPMS, ระบบป้องกันการออกตัวฉุกเฉิน Drive Start Control, สัญญาณไฟฉุกเฉินขณะเบรกกะทันหัน Emergency Brake Signal และระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HAC
ด้วยความเป็นรุ่นท็อปจึงมาพร้อมระบบ Toyota Safety Sense ที่มีระบบต่างๆ อันประกอบไปด้วย ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน Dynamic Radar Cruise Control, ระบบเปิดปิดไฟสูงอัตโนมัติ Automatic High Beams, ระบบเตือนเมื่อออกนอกเลนพร้อมหน่วงพ่วงมาลัยกลับอัตโนมัติ Lane Departure Alert, ระบบช่วยประคองรถให้อยู่ในเลน Lane Tracing Assist, ระบบเตือนมุมอับสายตา Blind Spot Monitor, ระบบช่วยเตือนขณะถอยรถ Rear Cross Traffic Alert และกล้องมองภาพรอบคัน Panoramic View Monitor ที่เมื่อเปิดไฟเลี้ยวซ้ายหรือขวาระบบจะแสดงภาพในมุมที่ไฟเลี้ยวติดและโชว์บนจอกลาง
เครื่องยนต์
รถระดับสูงสุดขุมพลังไฮบริดติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ความจุ 1.8 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 98 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 142 นิวตันเมตร และมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 72 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 163 นิวตันเมตร ให้กำลังรวมสูงสุด 122 แรงม้า (PS) ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ E-CVT ให้อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 23.3 กม./ลิตร
ช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบอิสระแม็กเฟอร์สันสตรัทพร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังแบบทอร์ชั่นบีมพร้อมเหล็กกันโคลงพวงมาลัยพาวเวอร์ไฟฟ้า EPS พร้อมระบบเบรกด้านหน้าแบบดิสก์แบบมีช่องระบายความร้อน ด้านหลังแบบดิสก์เบรกเหมือนกันทุกรุ่นย่อย
การขับขี่
เป็นอีกครั้งที่เราได้กลับมาทดสอบรถแบบสั้นๆ บนสนาม TOYOTA Driving Experience Park ย่านบางนา ซึ่งมีสถานีการทดสอบแทบจะเหมือนคราวก่อนหน้าที่เรามาลองขับ Toyota Revo Rocco 2020 โดยก่อนจะลงไปขับขี่ 2 รอบสนาม กับโคโรลล่า ครอส ใหม่ ทางวิศวกรได้สรุปให้ผู้ร่วมกิจกรรมทุกคนฟังว่าตั้งใจออกแบบรถมาเพื่อกลุ่มลูกค้าครอบครัวอายุ 35 ปีขึ้นไป พร้อมกับตั้งเป้ากลุ่มรองเป็นพนักงานเงินเดือนหน้าใหม่ นั่นหมายความว่าเจ้านี่มาในสไตล์นุ่มสบายขับง่ายคล่องตัว
พอเริ่มออกตัวหมุนพวงมาลัยก็จับความต่างจาก C-HR ได้ชัดเจน เพราะพวงมาลัยของ Corolla CROSS หมุนได้เบามือเหมาะกับการขับขี่ในเมืองที่ต้องคอยโยกหลบสิ่งต่างๆ ตลอดเวลา พอขยับใช้ความเร็วเพิ่มขึ้นความหน่วงมืออยู่ในระดับคนทั่วไปชื่นชอบ แต่ถ้าคุณเป็นนักขับรถตัวยงคงรู้สึกว่าถ้าหนืดกว่านี้คงดีไม่น้อย อย่างไรก็ตาม ความนิ่งของพวงมาลัยอยู่ในระดับน่าพอใจเมื่อต้องขับรถคันนี้เดินทางไกล
ประเด็นระบบกันสะเทือนด้านหลังที่ทางทีมวิศวกรเลือกใช้แบบทอร์ชั่นบีม มิได้เหมือนเพื่อนร่วมรุ่นแก๊งค์ TNGA ที่ได้ช่วงล่างด้านหลังอิสระ ทุกคนพอดูสเปกเปิดตัวก็พูดไปในทิศทางเดียวกันว่าเอาจริงดิ? ซึ่งจากการขับขี่จริงเราพบว่าช่วงล่างชุดนี้ดูดซับแรงสะเทือนจากพื้นถนนได้น่าประทับใจ ตอนแล่นผ่านผิวถนนขรุขระเก็บรายละเอียดที่จะส่งถึงผู้ขับขี่กับผู้โดยสารเพียงนิดหน่อยเท่านั้น หัวใจหลักในเรื่องความสบายเรายกนิ้วให้ผ่านไร้ข้อกังขา
อย่างไรก็ดี ความสบายที่ได้มาเป็นเพราะการแลกกับอาการโยนตัวที่มากกว่า C-HR กับ Corolla ALTIS กล่าวคือเจ้า Corolla CROSS ไม่ได้เฉียบคมเกาะจิกโค้งเท่าแต่ก็ยังให้ความมั่นใจได้อยู่ ต่อมาในจังหวะโยนเปลี่ยนเลนกะทันหันจะปรากฏอาการท้ายออกเล็กๆ ให้เราได้รู้สึก ซึ่งการนำรถกลับมาในสภาวะปกติทำได้ตามสั่ง ผู้ขับขี่ไม่ต้องมีทักษะขับรถขั้นเทพก็เอาตัวรถจากเหตุฉุกเฉินตรงหน้าได้ โดยถ้ามองว่านี่คือเอสยูวีสำหรับครอบครัวยุคใหม่ ช่วงล่างดังกล่าวเหมาะสมแล้วที่ปรับตั้งมาในลักษณะนี้
มาถึงหัวข้อความแรงขุมพลังเบนซินไฮบริด 1.8 ลิตร 122 แรงม้า บล็อกสหกรณ์กันบ้าง โดยจังหวะกดคันเร่งมิดตอนออกตัวแรงดึงถือว่าใกล้เคียงกับ C-HR ซึ่งเดาอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. อยู่ราว 13 วินาที ในขณะกดคันเร่งเติมเพื่อเร่งความเร็วมีอาการแทบไม่ต่างจากพลพรรคร่วมค่าย 2 คันที่เหลือ จุดนี้คาดว่าให้สมรรถนะกับความประหยัดน้ำมันไม่ต่างกันเท่าไร
ระบบเบรกในเอสยูวีไซส์ C-SUV คันล่าสุดเรารู้สึกชอบอกชอบใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะไม่ว่าจะกดเบรกตอนขับมาด้วยความเร็วก็สามารถเกลี่ยน้ำหนักได้นุ่มนวล ปราศจากอาการเบรกหัวทิ่มเมื่อคุณต้องเพิ่มน้ำหนักเบรกเพื่อให้รถหยุดไวขึ้น ขณะเดียวกัน จังหวะขับด้วยความเร็วต่ำแล้วต้องเบรกก็ทำได้ง่ายแบบไม่ต้องเกร็งเท้าช่วย และทำให้ระบบเบรกคือจุดที่ลูกค้าทั่วไปจะชื่นชอบหากได้ลองขับ
ประเด็นเสียงรบกวนต่างๆ ทั้งเสียงลม เสียงถนน และเสียงกระแทกของช่วงล่าง เบื้องต้นขับในสนามสั้นๆ ก็เงียบหูไม่ได้มีเสียงดังเข้ามาในห้องโดยสาร ซึ่งสถานการณ์จริงนั้นคงต้องรอการทดสอบภาคถนนอีกทีจึงจะบอกได้ทั้งหมด
สรุป
เมื่อโตโยต้ารู้ว่าลูกค้าชอบการขับขี่สบายๆ แบบ Altis ทว่าก็อยากได้รถทรงเอสยูวีแบบ C-HR แต่ติดเรื่องห้องโดยสารด้านหลังไม่เอื้ออำนวยต่อการเดินทาง การปั้นรถคันใหม่ที่รวบรวมข้อดีระหว่างรถสองคันนั้น จึงถูกหล่อหลอมจนออกมาเป็น Toyota Corolla CROSS ในวันนี้
เมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่าง Honda HR-V, Mazda CX-30, Nissan Kicks e-POWER หรือคันอื่นๆ ในพิกัดเดียวกัน โคโรลล่า ครอส ดูจะได้เปรียบคู่แข่งพอสมควร สาเหตุมาจากคนไทยส่วนใหญ่ต้องการรถที่ขับง่าย ประโยชน์ใช้สอยมาก ห้องโดยสารนั่งสบาย อุปกรณ์ครบถ้วน ทนทานเมื่อใช้ และราคาขายต่อดี
ราคาจำหน่าย Toyota Corolla CROSS 2020 ใหม่
– รุ่น 1.8 Sport ราคา 989,000 บาท (ราคาพิเศษ 959,000 บาท ถึง 30 ก.ย. 2563)
– รุ่น Hybrid Smart ราคา 1,019,000 บาท
– รุ่น Hybrid Premium ราคา 1,089,000 บาท
– รุ่น Hybrid Premium Safety ราคา 1,199,000 บาท คันทดสอบในบทความ
>> ชมคันจริง Toyota Corolla CROSS 2020 รุ่นท็อปสุดทั้งภายนอก-ภายใน ราคา 1,199,000 บาท
"ที่ชื่นชอบ" - Google News
July 10, 2020 at 08:38AM
https://ift.tt/3fhuNE0
รีวิว Toyota Corolla CROSS 2020 ใหม่ คำตอบของคนชอบความสบาย - Top Gear Thailand
"ที่ชื่นชอบ" - Google News
https://ift.tt/36dr0nt
ทุกคนคิดว่ารถคันนี้และ 2020 Toyota Hilux REVO Rocco มันเปรียบเทียบอย่างไร
ReplyDelete